การเจริญเติบโต หมายถึงการเพิ่มจำนวนของเซลล์การขยายขนาดจำนวนของเซลล์มีการ เปลี่ยนแปลงลักษณะของโครงสร้าง จากโครงสร้างหนึ่งไปเป็นอีกโครงสร้างหนึ่ง เช่นการเจริญเติบโตทางลำต้น หรือใบไปเป็นดอก ดอกเกิดเป็นผลเป็นต้น
การเจริญเติบโตของพืชแบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะการเจริญเติบโตทางกิ่งใบ ระยะการเจริญเติบโต ทางด้านสืบพันธ์การออกดอกและติดผล และระยะแก่ชราหรือการเสื่อมสภาพ
การเจริญเติบโตของพืช มี 3 กระบวนการ คือ
- การแบ่งเซลล์ทำให้มีจำนวนเซลล์เพิ่มมากขึ้นเซลล์ที่เกิดขึ้นใหม่จะมีลักษณะเหมือนเซลล์เดิมแต่มี ขนาดเล็กกว่าส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นที่บริเวณปลายยอดและปลายราก
- การเพิ่มขนาดของเซลล์เป็นการสร้างเพื่อสะสมสารทำให้เซลล์มีขนาดใหญ่ขึ้นโดยทั่วไปแล้วเมื่อมี การแบ่งเซลล์แล้วก็จะมีการเพิ่มขนาดของเซลล์ด้วยเสมอ
- การเปลี่ยนรูปร่างของเซลล์เพื่อให้เหมาะสมกับหน้าที่เฉพาะอย่างเช่น เซลล์ท่อลำเลียงอาหาร ปาก ใบ หรือเซลล์คุม เซลล์ขนราก ฯลฯ
ลักษณะที่แสดงว่าพืชมีการเจริญเติบโต มีดังนี้
1. รากจะยาวและใหญ่ขึ้น มีรากงอกเพิ่มขึ้น มีการแตกแขนงของรากมากขึ้น
2.ลำต้นจะสูงและใหญ่ขึ้น มีการผลิตทั้งตากิ่ง ตาใบ และตาดอก
3. ใบจะมีขนาดใหญ่ขึ้น จำนวนใบเพิ่มขึ้น
4. ดอกจะใหญ่ขึ้น หรือดอกเปลี่ยนแปลงเป็นผล
5. เมล็ดจะมีการงอกต้นอ่อน
การที่พืชผลติดเฉพาะฮอร์โมนและเอนไซม์ ยังไม่ถือว่ามีการเจริญเติบโต
ปัจจัยที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของพืช ได้แก่
- ดิน เป็นปัจจัยสำคัญอันดับแรก ดินที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืชต้องเป็นดินที่อุ้มน้ำได้ดี ร่วนซุย มีอินทรีย์วัตถุมาก แต่เมื่อใช้ดินปลูกไปนานๆ ดินอาจเสื่อมสภาพ เช่น หมดแร่ธาตุจำเป็นต้องมีการปรับปรุงดินให้อุดมสมบูรณ์ได้แก่การไถพรวน การใส่ปุ๋ย การปลูกพืชหมุนเวียน เป็นต้น
- น้ำ เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสิ่งมีชีวิตไม่ว่าพืชหรือสัตว์ เนื่องจากในสิ่งมีชีวิตทุกชนิดมีน้ำเป็น องค์ประกอบมากกว่าครึ่งหนึ่งของน้ำหนักตัว น้ำเป็นส่วนประกอบใหญ่ภายในเซลล์ช่วยละลายสารอาหารต่างๆ ช่วยลำเลียงสารอาหาร สารเคมีรวมทั้งแร่ธาตุต่าง ๆ ระหว่างเซลล์และช่วยลดอุณหภูมิภายในลำต้นอีกด้วย ความสำคัญของน้ำต่อพืช มีดังนี้
1) เป็นวัตถุดิบสำคัญต่อการสังเคราะห์แสงของพืช
2) เป็นปัจจัยที่สำคัญต่อการงอกของเมล็ดพืช เพราะน้ำจะช่วยทำให้เปลือกหุ้มเมล็ดอ่อนนุ่ม ต้นอ่อนสามารถแทงรากงอกออกมาจากเมล็ดได้ง่าย
3) เป็นตัวทำละลายสารอาหารและเกลือแร่ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในดิน เพื่อช่วยให้รากดูดซึมและลำเลียง ไปยังส่วนต่าง ๆ ของพืช เช่น ลำต้น กิ่ง ก้าน และใบ
4) ช่วยในการเจริญเติบโตของพืช โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื้อเยื่อที่กำลังเจริญเติบโต ถ้าขาดน้ำก็จะทำ ให้เซลล์ยืดตัวไม่เต็มที่ต้นจะแคระแกร็น และถ้าขาดน้ำหนักมาก ๆ พืชจะเหี่ยวและเฉาตายไปในที่สุด
5) เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของพืช โดยพืชบกจะมีน้ำเป็นส่วนประกอบประมาณ 60 – 90 เปอร์เซ็นต์ส่วนพืชน้ำจะมีน้ำอยู่ประมาณ95 – 99 เปอร์เซ็นต์ - ธาตุอาหาร บทบาทของธาตุอาหารหลักต่อการดำรงชีวิตและการเจริญเติบโตของพืชสรุปได้ดังนี้
1) ไนโตรเจน เป็นองค์ประกอบใน
(1) โปรตีน (โครงสร้างเซลล์เอนไซม์เยื่อหุ้มเซลล์พาหะleหรับการดูดน้ำและธาตุอาหาร)
(2) สารดีเอ็นเอซึ่งเป็นสารพันธุกรรม และสารอาร์เอ็นเอทำหน้าที่ในการสังเคราะห์โปรตีน
(3) ฮอร์โมนพืช คือ ออกซินและไซโทไคนิน
(4) สารอินทรีย์ไนโตรเจนในพืชอีกมากมายหลายชนิด
2) ฟอสฟอรัส เป็นองค์ประกอบใน
(1) กรดนิวคลีอิก ซึ่งมี 2 ชนิดคือ ดีเอ็นเอเป็นสารพันธุกรรมและควบคุมการแบ่งเซลล์และ อาร์เอ็นเอ ทําหน้าที่สังเคราะห์โปรตีนและเอนไซม์
อ่านเพิ่มเติม
อุตสาหกรรมเชิงเศรษฐนิเวศ(Eco-Industry) หมายถึง สถานประกอบการอุตสาหกรรมในระดับต่างๆ ที่มีระบบอำนวยให้หน่วยกิจกรรมต่างๆ ในองค์กรสามารถบรรลุถึงความสำเร็จอย่างยั่งยืน (sustainability) ร่วมกัน ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ (economy) และระบบนิเวศ (ecology) โดยอาศัยการสร้างระบบความสัมพันธ์แบบพึ่งพาในเชิงวัสดุและพลังงาน และจะต้องอาศัยการผูกโยงความสัมพันธ์ระหว่างกิจการที่มีความสอดคล้องกันในเชิงผลพลอยได้ของผลิตภัณฑ์
เป้าหมายร่วมของการดำเนินงานพัฒนานวัตกรรมในกลุ่มอุตสาหกรรมเชิงเศรษฐนิเวศของ สนช. คือ การให้ความสำคัญกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของโลก เช่นสภาวะโลกร้อนหรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีสาเหตุจากปรากฏการณ์เรือนกระจก (green house effect) และการพัฒนาอุตสาหกรรมเพื่อความยั่งยืน ที่เป็นกระแสหลักของประชาคมโลกปัจจุบัน
ดังนั้น เพื่อตอบสนองเป้าหมายดังกล่าวข้างต้น สนช. จึงได้พัฒนานวัตกรรมในกลุ่มอุตสาหกรรมเชิงเศรษฐนิเวศใน 2 ด้าน ได้แก่ ด้านอุตสาหกรรมสะอาด (Clean Industry Platform) และด้านผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Eco-Products Platform) นอกเหนือจากอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพ และธุรกิจนวัตกรรมเกษตรอินทรีย์ ที่ได้ดำเนินการผลักดันจนเป็นโครงการนวัตกรรม
ด้านอุตสาหกรรมสะอาด (Clean Industry Platform)
เป็นการพัฒนาเปลี่ยนแปลงปรับปรุงอย่างต่อเนื่องของผลิตภัณฑ์ กระบวนการผลิต การบริการ และการบริโภค เพื่อให้สามารถใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างคุ้มค่าที่สุด นอกจากนี้ ยังเน้นการลดการใช้สารเคมีอันตราย ลดของเสียและของเหลือใช้ รวมไปถึงการนำกลับมาใช้ใหม่ เพื่อเป็นการลดค่าใช้จ่ายในการกำจัดหรือบำบัดของเสียนั้นๆ โดยก่อให้เกิดผลกระทบหรือความเสี่ยงอันจะเกิดขึ้นต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในขณะที่ยังต้องคำนึงถึงความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ควบคู่กันไปด้วย
สนช. ได้กำหนดแผนการดำเนินงานในด้านอุตสาหกรรมสะอาด ภายใต้กลุ่มอุตสาหกรรมเชิงเศรษฐนิเวศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาพลังงานทดแทนจากของเสีย การจัดการของเสียอย่างถูกวิธี การพัฒนานวัตกรรมเพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานทางเลือก อาทิ แสงอาทิตย์ ลม น้ำ เป็นต้น รวมถึงอุปกรณ์หรือกระบวนการที่ก่อให้เกิดการประหยัดพลังงาน ซึ่งจะทำให้เกิดการใช้ทรัพยากรด้านพลังงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ อีกทั้งในภาวะที่ทั่วโลกกำลังให้ความสนใจในเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ การรู้จักเลือกใช้เทคโนโลยีสะอาดที่เหมาะสมกับอุตสาหกรรมจึงเปรียบเสมือนเป็นการช่วย ลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่เป็นสาเหตุสำคัญของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในปัจจุบัน
นอกจากนี้ สนช. ยังได้ร่วมมือกับกลุ่มพลังงานทดแทน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กลุ่มธุรกิจเอกชนและสถาบันการศึกษาต่างๆ เพื่อสร้างเครือข่ายธุรกิจนวัตกรรมด้านพลังงานสะอาด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้คำปรึกษาทางเทคโนโลยีและประเมินความเป็นไปได้ทางธุรกิจของโครงการนวัตกรรมในกลุ่มเทคโนโลยีสะอาด และผลักดันให้เกิดการลงทุนในธุรกิจนวัตกรรม
ตัวอย่างโครงการในด้านอุตสาหกรรมสะอาดที่สำคัญ ได้แก่ โครงการระบบผลิตน้ำมันและไฟฟ้าด้วยกระบวนการไพโรไลซิส-แก๊สซิฟิเคชั่น โครงการระบบให้ความร้อนจาก ก๊าซชีวภาพสำหรับกกลูกสุกร เป็นต้น ซึ่งในปี พ.ศ. 2552 สนช. ได้ผลักดันให้เกิดการลงทุนในธุรกิจนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีสะอาดรวมทั้งหมด 11 โครงการ อาทิ โครงการกังหันลมผลิตไฟฟ้าขนาด 2 กิโลวัตต์ชนิดเสาเดี่ยวร่วมโครงการระบบผลิตก๊าซเชื้อเพลิงร่วมจากเตาแก๊สซิไฟเออร์ชีวมวลและก๊าซชีวภาพเพื่อทดแทนการใช้ LPG โครงการเครื่องคาร์บอไนเซอร์ชีวมวล ฯลฯ รวมเป็นวงเงินสนับสนุน 8,690,300 บาท คิดเป็นมูลค่าการลงทุน 246,768,000 บาท
เครือข่ายความร่วมมือ
– สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน (สนพ.)
– กลุ่มผู้ประกอบการด้านพลังงานทดแทน
ด้านผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Eco-Products Platform)
เป็นผลิตภัณฑ์ กระบวนการ อ่านเพิ่มเติม
การขยายตัวของโรงงานอุตสาหกรรมก่อให้เกิดปัญหามลภาวะต่าง ๆและกำลังเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางไปทั่วโลกในปัจจุบัน ดังนั้นในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาจึงมีการพัฒนาหลักการของเทคโนโลยีสะอาด (Cleaner Technology) การผลิตที่สะอาด (Cleaner Production) การป้องกันมลพิษ (Promotion Prevention) รวมไปถึงการลดการเกิดของเสียให้น้อยที่สุดในกระบวนการผลิต (Waste Minimization) ซึ่งเทคโนโลยีต่าง ๆ เหล่านี้ได้ถูกนำมาใช้เพื่อลดปัญหาสิ่งแวดล้อมในภาคอุตสาหกรรม ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม ว่าจะเลือกใช้วิธีการใดในกระบวนการผลิตของตนเอง
1. เทคโนโลยีสะอาด (Clean Technology)
เทคโนโลยีสะอาด คือ กลยุทธ์ที่ใช้ในการผลิตเชิงอุตสาหกรรม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้วัตถุดิบ และพลังงานในการผลิต ทำให้สามารถลดต้นทุน โดยการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ บริการ และกระบวนการผลิตอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดของเสียจากแหล่งกำเนิด อันจะช่วยลดภาระในการกำจัดของเสีย รวมถึงก่อให้เกิดการใช้พลังงาน ทรัพยากร และวัตถุดิบต้นทุนอย่างคุ้มค่า อันเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับผู้ประกอบการ ช่วยเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก อีกทั้งยังพัฒนาความสามารถ และประสิทธิภาพของธุรกิจ และเป็นจุดเริ่มต้นในการก้าวสู่มาตรฐาน ISO 14000 ของอุตสาหกรรมอีกด้วย
1.1 หลักการของเทคโนโลยีสะอาด
หลักการของเทคโนโลยีสะอาด มุ่งเน้นไปที่การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ คือ การลดการใช้พลังงาน การใช้น้ำ และทรัพยากรธรรมชาติอื่น ๆ ซึ่งหลักการของเทคโนโลยีสะอาดจะเน้นที่การป้องกันมากกว่า การแก้ปัญหา โดยลดของเสียที่เกิดขึ้นในกระบวนการต่าง ๆ ให้น้อยที่สุด โดยวิธีการแยกสารพิษที่เกิดขึ้นจากการบวนการผลิตในทุกขั้นตอน ซึ่งประกอบด้วยการเปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิต การเปลี่ยนแปลงวัตถุดิบ ที่ทำให้เกิดผลพลอยได้ที่ไม่เป็นอันตราย รวมทั้งการลดปริมาณของเสียที่เกิดขึ้นโดยกระบวนการนำกลับมาใช้ซ้ำ (Reuse) หรือ การนำกลับไปใช้ใหม่ (Recycle) จนกระทั่งของเสียเหล่านั้นไม่สามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ได้อีก จึงนำไปบำบัดหรือกำจัดตามหลักวิชาการต่อไป
ภาพที่ 1 หลักการจัดการของเสียของเทคโนโลยีสะอาด
ที่มา : http://tps38-21.blogspot.com/2013/03/blog-post_1557.html
ภาพที่ 2 หลักการของเทคโนโลยีสะอาด
จากที่กล่าวมาข้างต้น สามารถสรุปหลักการของเทคโนโลยีสะอาดได้ดังนี้
1. การลดมลพิษที่แหล่งกำเนิด แบ่งเป็น 2 แนวทางใหญ่ ๆ คือ การเปลี่ยนแปลงผลิตภัณฑ์ และ การเปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิต
1.1 การเปลี่ยนแปลงผลิตภัณฑ์ (Product Reformulation) อาจทำได้โดยการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด หรือการออกแบบให้มีอายุการใช้งานของผลิตภัณฑ์ได้นานขึ้น
– การเปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิต (Process Change) แบ่งได้ 3 กลุ่ม อันประกอบด้วย
– การเปลี่ยนแปลงวัตถุดิบ (Input Material Change) โดยเลือกใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพ ลดหรือเลิกการใช้วัตถุดิบที่เป็นอันตราย เพื่อหลีกเลี่ยงการปนเปื้อนของสารอันตรายเข้าไปในกระบวนการผลิต และพยายามใช้วัตถุดิบที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้
– การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี (Technology Improvement) อ่านเพิ่มเติม